วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2558

ร่วมอุปถัมภ์จารีต “หยุดคลิก“

เทรนด์การ เสพข่าว ของคนแบบใหม่ และกลุ่มคนที่อาจไม่ใช่รุ่นใหม่ แต่หันมาใช้อุปกรณ์ ใช่ไหมดีไวซ์อื่น ๆ อาทิ สมาร์ทโฟน แท็บเลต ในการอ่านข่าวกำลังเป็นที่นิยม
พอใช้อุปกรณ์ทันกาลเวลาเสพข่าวแล้ว ช่องทาง ที่จักเห็นข่าว สะท้อนให้เห็นพฤติกรรมอ่านข่าวอยู่ 2 ด้าน คือ แบบเข้าไปในเว็บไซต์ข่าวของสื่อหรือว่าสำนักข่าวที่สนใจโดยตรง กลุ่มนี้ยังอ่านข่าวจากสื่อกระแสหลัก รวมถึงกลุ่มซื้ออ่านแบบอิเล็กทรอนิกส์จ่ายรายเดือน
แต่การอ่านข่าวอีกกระแสหนึ่งที่กำลังเป็นที่นิยม คือ อ่านข่าวแบบอิสระตามโซเชียลมีเดีย อาทิ บนฟีดเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม แม้กระทั่งอ่านตามกลุ่มห้องแชตในไลน์ในโทรศัพท์มือถือ
นี่เองจึงเกิดเป็นวัฒนธรรมการอ่านข่าวแบบ คลิก ของคนยุคโซเชียลมีเดีย
อย่างไรก็ดี ในกลุ่มที่อ่านข่าวลักษณะนี้แยกย่อยได้อีกว่า กลุ่มหนึ่งสนใจข่าวเชิงฮาร์ดนิวส์ กับอีกกลุ่มสนใจข่าวแบบโซเชียลฯ คือ ไม่ได้สนใจข่าวไหนเป็นพิเศษ แต่อ่านสิ่งที่เป็นกระแสพร้อมทั้งถูกแชร์มา
ปางระบบโซเชียลมีเดียใช้วิธีประมวลผลพร้อมกับจับกระแสข่าวที่ถูกแชร์ ถูกแสดงความเห็น กดไลก์มาก ทำให้พบเห็นเตะตาง่ายสุด ทำให้ผู้ใช้โซเชียลฯเห็นข่าวนั้นได้มากกว่าข่าวเชิงคุณภาพที่อาจมีคนสนใจน้อย แน่นอนว่า ข่าวจำพวกสีสัน และอื้อฉาวจึงตอบโจทย์กระแสโซเชียลมีเดียนั่นเอง
ด้วยกันพอยิ่งเห็นง่าย ก็ยิ่งถูกกระพือไปง่าย ทำให้เห็นปรากฏการณ์ข่าวที่ไม่น่าจักเป็นข่าวโด่งดังบนสื่อกระแสหลักได้เลย อย่างข่าว เหนียวไก่หาย
ในโลกโซเชียล หลายครั้งที่ข่าวที่ถูกกดคลิกอ่านมากที่สุด กลายเป็นข่าวที่ไม่มีเนื้อหาสาระอะไรเลย (เว้นบางกรณีที่ข่าวฮาร์ดนิวส์มีแรงพอจะกระเทือนสังคมได้) บางข่าวก้าวข้ามจากการรายงานข่าวไปเป็นการยุยงก็มี
นี่จึงเป็นที่มาของไอเดียที่น่าสนใจคือ แนวคิด หยุดคลิก เพื่อหยุดวงจรข่าวไม่เป็นสาระ เป็นการหยุดที่ตัวคนอ่าน ไม่ได้หยุดที่คนรายงานข่าวนั่นเอง
ไอเดียนี้มาจาก แซลลี่ คอห์น นักวิเคราะห์ข่าวอิสระชาวอเมริกันที่แนะนำว่าอย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับข่าวใด ๆ ที่พยายามจักให้คุณเสียสติ ในทางกลับกัน ควรใช้การคลิกอันมีค่าของคุณกดเข้าดูข่าวที่คุณเชื่อถือได้อย่างแท้เป็นแน่แท้
เธอพูดสั้น ๆ แต่ชัดเจนว่า ไม่ชอบโดนล่อให้คลิกก็จงอย่าคลิก
ผู้อ่านต้องตระหนักให้ได้ว่า การคลิก คือการกระทำเชิงสาธารณะ เช่นเดียวกับทุกสิ่งที่เขียนในอินเทอร์เน็ตก็เป็นสิ่งสาธารณะ แปลว่านับวันผู้อ่านก็เปรียบเสมือน สื่อ ทั้งหมดนั่นเอง
เมื่อคิดได้ว่า พวกเราคนอ่านก็คือสื่อทั้งหมดด้วย ก็ต้องเปลี่ยนวิธีคลิก ไม่คลิกอ่านข่าวโคมลอย ข่าวกระแสที่ไร้สาระจนไม่น่ากดส่งต่อ ก็เพราะว่าจนกระทั่งทำให้ข่าวพรรค์นั้นมียอดคลิกมาก ก็ยิ่งส่งเสริมข่าวแบบนั้นให้เป็นกระแสอีกเช่นกัน
แซลลี่ชี้แจงแบบชัดเจนเลยว่า เลิกคลิกลิงก์อ่อยเหยื่อ ไม่ประสงค์ดู ก็อย่าคลิก ถ้าไม่ชอบการแสดงความเห็นสาดโคลนไม่จบก็หยุดคลิก เรียกว่าไม่ต้องสุมไฟ ถ้าผู้ชนะคือผู้ที่ถูกคลิกมากที่สุด เราต้องเปลี่ยนด้วยคลิกของเรา ให้ถือว่าการคลิกเป็นการกระทำอย่างเปิดเปรย พร้อมทั้งต้องคลิกอย่างรับผิดชอบ แซลลี่ คอห์นสรุป
ฟังแล้วแม้จักทำยากมาก เพราะว่าหลักสื่อสารมวลชน คำว่า Human Interest ยังใช้ได้อยู่ ด้วยข่าวสารที่ไร้สาระแต่พาดหัวเร้าใจชวนให้กดคลิก
แต่ขอเสริมว่าแม้จะกดคลิกอ่านแล้ว ก็ต้องอ่านแบบมีวิจารณญาณ ถ้าเจอข่าวสารที่ดูหมิ่นเหม่กับข้อเท็จแท้จริง อย่าเพิ่งเชื่อไม่ใช่หรือรีบส่งแชร์ต่อ การคิดว่าแค่แชร์ต่อไม่ได้เสียหาย แน่นอน ๆ แล้วเรากำลังอยู่ในวงจรกระพือข่าวผิด ทำให้สังคมสับสน สมมตไม่แน่ใจสิ่งที่อ่านก็จงอย่าแชร์ แต่จงหาข้อเท็จจริง หรือว่ารอที่จักมีคำตอบที่น่าเชื่อถือมาอธิบายจักดีกว่าส่งแชร์ต่อไป
วิจารณญาณสำคัญมากเพราะด้วยการเสพข่าวแบบคลิกแบบแชร์ในโลกวันนี้
ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีรอบโลกได้ที่นี่ >>> www.hitech.sanook.com

[รีวิว] OPPO N3 โทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่นเรี่ยมกล้องหมุนได้ 206 องศา

[รีวิว] OPPO N3 มือถือกล้องหมุนได้ รุ่นต่อยอด ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ที่หมุนได้ 206 องศา พร้อมความปลอดภัยอีกขั้น ด้วยระบบสแกนลายนิ้วมือ
ถ้าหากถามถึง สมาร์ทโฟนรุ่นเรือธง ที่น่าจับตามองมากที่สุด ณ ชั่วโมงนี้ คงจะต้องมีชื่อของ OPPO N3 กันอย่างแน่นอน
โดยสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ คือรุ่นสานต่อของ OPPO N1 ที่ถือว่าเป็นต้นกำเนิดของ มือถือกล้องหมุนได้ นั่นเอง ซึ่ง OPPO N3 ถือว่า ล้ำหน้ากว่า OPPO N1 ในหลายๆ จุดด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น กล้องด้านหลัง ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชแบบ Dual-LED คมชัดมากขึ้นกว่าเดิม
สามารถหมุนใช้งานเป็นกล้องด้านหน้าได้ โดยหมุนได้ถึง 206 องศาระบบสแกนลายนิ้วมือด้านหลังตัวเครื่อง สามารถจดจำลายนิ้วมือได้สูงสุด 5 ลายนิ้วมือ, อุปกรณ์สั่งงานแบบไร้สายที่มีชื่อว่า O-Click Control, หน้าจอแสดงผลกว้าง 5.5 นิ้ว ความละเอียดระดับ Full HD (1080p), หน่วยประมวลผลแบบ Quad-Core Processor ความเร็ว 2.3 GHz และ ระบบปฏิบัติการ Color OS
นอกจากนี้ ยังชาร์จแบตเตอรี่ได้ไวขึ้น ด้วยเทคโนโลยี VOCC ด้วยการชาร์จเพียง 5 นาที สามารถใช้คุยโทรศัพท์ได้นานถึง 2 ชั่วโมง หรือชาร์จเพียง 30 นาที แบตเตอรี่เพิ่มขึ้นถึง 75% และรองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ดอีกด้วย
เรียกได้ว่า OPPO N3 มาพร้อมกับคุณสมบัติที่อัดแน่น ครบครันทุกการใช้งาน กับราคาเปิดตัวที่ 19,990 บาทซึ่งจะคุ้มค่าต่อการใช้งานหรือไม่ ในวันนี้เราจะมาพิสูจน์ไปพร้อมๆ กันกับบทความ รีวิว OPPO N3 โดยทีมงาน techmoblog ครับ
สเปค OPPO N3
• จอแสดงผลกว้าง 5.5 นิ้ว แบบ TFT LCD Capacitive Touchscreen 16.7 ล้านสี ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล (403 ppi)
• หน่วยประมวลผลแบบ Quad-Core Processor (Qualcomm Snapdragon 801 MSM8974AA chipset) ความเร็ว 2.3 GHz
หน่วยประมวลผลภาพ Adreno 330 GPU
• RAM ขนาด 2 GB
• หน่วยความจำภายในตัวเครื่อง ขนาด 32 GB รองรับ microSD Card สูงสุด 128 GB
• รันระบบปฏิบัติการ Color OS เวอร์ชัน 2.0 ซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 4.4.4 (KitKat)
• กล้องด้านหลัง ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชแบบ Dual-LED โดยโมดูลกล้อง สามารถหมุนได้ 206 องศา และใช้งานเป็นกล้องด้านหน้าได้
• แบตเตอรี่ Li-ion 3000 mAh
• รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด
>> สเปค OPPO N3 อย่างละเอียด คลิกที่นี่
รีวิว OPPO N3 : ดีไซน์ และการออกแบบ
OPPO N3 มาพร้อมหน้าจอแสดงผลกว้าง 5.5 นิ้ว แบบ TFT LCD Capacitive Touchscreen 16.7 ล้านสี ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล (403 ppi) ซึ่งถือว่า มีขนาดหน้าจอเล็กกว่า OPPO N1 ที่มีขนาดหน้าจออยู่ที่ 5.9 นิ้ว เล็กน้อย แต่มีข้อดีคือ สามารถพกพาได้สะดวกมากขึ้น และมีน้ำหนักที่เบากว่า โดยน้ำหนักของตัวเครื่อง OPPO N3 อยู่ที่ 192 กรัม
ด้านบนของหน้าจอแสดงผล ประกอบด้วย Proximity Sensor สำหรับการปิดหน้าจอแบบอัตโนมัติขณะสนทนา เพื่อประหยัดพลังงาน, Ambient Light Sensor สำหรับตรวจวัดความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอและแผงปุ่มกดให้เหมาะสม และลำโพงสำหรับสนทนา ซึ่งสามารถหมุนกล้องด้านหลัง มาเป็นกล้องด้านหน้าได้ ความละเอียดอยู่ที่ 16 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชแบบ Dual-LED โดยตัวกล้องสามารถหมุนได้ถึง 206 องศา บุด้วยหนังเทียม ทำให้ดูหรูหราไปอีกระดับ
ด้านล่างของหน้าจอแสดงผล ประกอบด้วย ปุ่มควบคุมการทำงานแบบสัมผัส 3 ปุ่มหลัก ได้แก่ ปุ่มเมนู, ปุ่ม Home และปุ่มย้อนกลับ
Skyline Notification 2.0 แสงแจ้งเตือนจะปรากฏขึ้นเมื่อได้รับการแจ้งเตือนต่างๆ เช่น มีสายที่ไม่ได้รับ, มีข้อความที่ไม่ได้อ่าน, แจ้งเตือนเมื่อแบตเตอรี่อยู่ในระดับต่ำ และเมื่อมีการชาร์จแบตเตอรี่
สำหรับขอบตัวเครื่องบน OPPO N3 นั้น ทำจากวัสดุอะลูมิเนียม อัลลอยด์ ซึ่งมีความแข็งแรงทนทาน โดยด้านขวาของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ปุ่มปรับระดับเสียง และช่องหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5 มิลลิเมตร ส่วนด้านซ้ายของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ถาดใส่ซิมการ์ด, ปุ่ม Power สำหรับเปิด-ปิดตัวเครื่อง หรือล็อคหน้าจอแสดงผล และพอร์ต microUSB
OPPO N3 รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ดภายในเครื่องเดียว โดยช่องซิมการ์ดที่ 1 รองรับซิมการ์ดแบบ microSIM ส่วนช่องซิมการ์ดที่ 2 รองรับซิมการ์ดแบบ nanoSIM และเป็นช่องสำหรับหน่วยความจำเสริมแบบ microSD Card ด้วย (รองรับสูงสุด 128 GB) ซึ่งจะต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งครับ (ถ้าหากเลือกใส่ microSD Card ก็จะไม่สามารถใส่ซิมการ์ดได้)
ด้านบนของตัวเครื่อง ไม่มีปุ่มควบคุมการทำงานใดๆ ส่วนด้านล่างของตัวเครื่อง เป็นไมโครโฟนตัวหลักสำหรับสนทนา และลำโพงเสียง
กรอบด้านหลังของ OPPO N3 เป็นวัสดุผิวเรียบลื่น ประกอบไปด้วย กล้องด้านหลัง ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชแบบ Dual-LED, ไมโครโฟนตัวที่สองสำหรับตัดเสียงรบกวนรอบข้าง, โลโก้ OPPO และระบบสแกนลายนิ้วมือ ที่สามารถจดจำลายนิ้วมือได้สูงสุดถึง 5 ลายนิ้วมือด้วยกัน ส่วนกล้องด้านหลังนั้น สามารถหมุนสลับไปเป็นกล้องด้านหน้าได้
O-Click รีโมตสำหรับควบคุมการสั่งงานบน OPPO N3 โดยถูกออกแบบให้มีขนาดเล็ก พร้อมช่องสำหรับใส่สายคล้อง หรือคล้องกับพวงกุญแจ ช่วยให้สามารถพกพาได้สะดวกขึ้นนั่นเองครับ
ส่วนคุณสมบัติของ O-Click ก็ได้แก่ เป็นรีโมตในการควบคุมการถ่ายรูป ทั้งการหมุนกล้อง และการชัตเตอร์, กด O-Click สองครั้งเพื่อให้โทรศัพท์ดัง และมีระบบแจ้งเตือน เมื่อสมาร์ทโฟนอยู่นอกสัญญาณของ O-Click
ข้อควรทราบ: “เครื่อง OPPO N3 ที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้ เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทาง ออปโป้ เท่านั้น ยังไม่ใช่เครื่องที่วางจำหน่ายจริงแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นตัวเครื่อง หรือฟังก์ชันการทำงานบางอย่างอาจจะยังไม่สมบูรณ์ 100% เหมือนกับเครื่องที่วางจำหน่ายจริง”

ที่มา: http://hitech.sanook.com/1394101/

วันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2558

สูงสุดด้ามเมืองจีน ที่วิเศษ ประจำปี 2014 มีรุ่นใดบ้าง มาทัศนากัน

ด้วย ตลาดสมาร์ทโฟน ในปัจจุบัน นอกจากจะมีแบรนด์ที่คุ้นหู อย่าง Apple, Samsung, HTC, Sony พร้อมกับแบรนด์อื่นๆ ที่ขึ้นแท่น มือถือยอดเป็นที่นิยม แล้ว ปี 2014 นี้
ถือว่า มือถือจีน มาแรงด้วยเช่นกัน สังเกตได้จากยอดพรีออเดอร์ และยอดขายหลายๆ รุ่น ที่อาจจะตีตลาดได้ในหลายๆ ประเทศนั่นเอง นอกจากนี้ มือถือจีน ยังขึ้นชื่อในเรื่องของ สเปคแรง แต่สนนราคาถูกกว่า ตราบเทียบกับ มือถือ ที่มีสเปคใกล้เคียงกัน มาดูกันครับว่า  ที่เป็นที่นิยมที่สุด ได้รับความนิยมมากที่สุด ในปี 2014จักมีรุ่นอะไรกันบ้าง
Huawei Ascend G7
src=http://www.techmoblog.com/uploads/content_images/201411/images_14169887261.jpgเพื่อ Huawei Ascend G7 นั้น นอกจากจักมาพร้อมกับ ดีไซน์หรูหรา ด้วยตัวเครื่องแบบอะลูมิเนียมแล้ว ในส่วนของสเปค ก็ยังแรงไม่ปราชัยกัน เพราะว่ามาพร้อมกับหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด 720p, ชิปเซ็ต Snapdragon 610 แบบ 64-bit, แบตเตอรี่ขนาด 3000 mAh, กล้องหลัง 13 ล้านพิกเซล, รองรับ 4G LTE และรัน Android 4.4 KitKat ซึ่งราคาของรุ่นนี้ อยู่ที่หมื่นต้นๆ เท่านั้นเอง
Xiaomi Redmi 1S
src=http://www.techmoblog.com/uploads/content_images/201411/images_14169887412.jpgXiaomi Redmi 1S สมาร์ทโฟนรุ่นต่อยอด ที่ตอกย้ำความแรงด้วยยอดขายในหลายๆ ประเทศ มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 4.7 นิ้ว ความละเอียด 720 x 1280 พิกเซล, RAM 1 GB, หน่วยประมวลผลแบบ Quad-Core Processor ความเร็ว 1.6 GHz, หน่วยความจำภายในตัวเครื่องขนาด 8 GB, กล้องหลัง 8 ล้านพิกเซล กับแบตเตอรี่ขนาด 2000 mAh
vivo XShot
src=http://www.techmoblog.com/uploads/content_images/201411/images_14169887543.jpgvivo แบรนด์มือถือสัญชาติจีน ที่เกริ่นมาตีตลาดในไทยกันบ้างแล้ว กับ vivo XShot ที่โดดเด่นในเรื่องของ กล้องด้านหลัง ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล, รูรับแสงกว้าง F/1.8, รองรับการถ่ายวีดีโอ 4K พร้อมทั้งโหมดการถ่ายภาพ Slow-Motion 120fps ส่วนกล้องด้านหน้า ความละเอียดอยู่ที่ 8 ล้านพิกเซล พร้อมเลนส์มุมกว้าง นอกจากนี้ ยังมีไฟแฟลชที่กล้องด้านหน้าอีกด้วย
ส่วนสเปคอื่นๆ ของ vivo XShot ก็ถือว่า ยอดเยี่ยมไม่จำนนกันครับ ก็เพราะว่ามาพร้อมกับหน้าจอขนาด 5.2 นิ้ว ความละเอียด 1080p, ชิปเซ็ต Snapdragon 800, RAM 2 GB ส่วนรุ่นที่ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 801 จักมาพร้อม RAM 3 GB เลยทีเดียว
Xiaomi Redmi Note
src=http://www.techmoblog.com/uploads/content_images/201411/images_14169886234.jpgติดอันดับมาเป็นรุ่นที่สอง เกี่ยวกับแบรนด์ Xiaomi กับ Xiaomi Redmi Note แฟบเล็ตหน้าจอ 5.5 นิ้ว ความละเอียด 720p, ชิปเซ็ต MediaTek MT6592 แบบ Octa-Core Processor พร้อมทั้งกล้องด้านหลัง 13 ล้านพิกเซล ในมูลค่าไม่ถึงหมื่น
UMi Zero
src=http://www.techmoblog.com/uploads/content_images/201411/images_14169886375.jpgเหตุด้วยแบรนด์นี้ คงยังไม่คุ้นหูคนไทยเท่าไหร่ กับ UMi Zero สมาร์ทโฟนที่มาพร้อมกับ ตัวเครื่องบางพาง 6.4 มิลลิเมตร, ชิปเซ็ต MediaTek MT6592T, RAM 2 GB, กล้องหน้า 8 ล้านพิกเซล, กล้องหลัง 13 ล้านพิกเซล พร้อม Dual-LED Flash ด้วยกันรัน Android 4.4 KitKat
Huawei Ascend Mate 2
src=http://www.techmoblog.com/uploads/content_images/201411/images_14169886526.jpgเป็นแบรนด์ที่คุ้นหูคนไทยอยู่แล้ว กับ Huawei Ascend Mate 2 กับเป็นรุ่นแรกของค่าย ที่บุกตลาดมือถืออเมริกาอย่างเป็นทางการ เพราะว่า Huawei Ascend Mate 2 นั้น มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 6.1 นิ้ว, หน่วยประมวลผลแบบ Quad-Core Processor ความเร็ว 1.6 GHz และรองรับ 4G LTE อีกด้วย
OnePlus One
src=http://www.techmoblog.com/uploads/content_images/201411/images_14169888137.jpgแม้จักเป็นแบรนด์น้องใหม่ แต่ก็ทำการตลาดจนเป็นชื่อที่ติดหูคนทั่วโลกไปแล้ว กับ OnePlus One ที่มาพร้อมกับหน้าจอ 5.5 นิ้ว พร้อมกับชิปเซ็ต Snapdragon 801 โดยมีค่าจำหน่ายในต่างประเทศ แค่ $299 เท่านั้นเอง
Meizu MX4
src=http://www.techmoblog.com/uploads/content_images/201411/images_14169886858.jpgไม่พลาดที่จะโผด้วยเหมือนกัน กับ Meizu MX4 ที่เรียกได้ว่า เป็นรุ่นที่ถูกใจใครหลายๆ คนด้วยเช่นกัน เพราะว่ามาพร้อมชิปเซ็ต MediaTek MT6595 แบบ Octa-Core Processor, RAM 2 GB, กล้องด้านหลัง 20.7 ล้านพิกเซล กับแบตเตอรี่ขนาด 3100 mAh ใช้งานได้จุใจตลอดวัน
OPPO Find 7
src=http://www.techmoblog.com/uploads/content_images/201411/images_14169887019.jpgเพราะด้วย OPPO Find 7 นั้น เรียกได้ว่า โดดเด่นตั้งแต่ดีไซน์ไปจนถึงสเปคเลยทีเดียว โดยมาพร้อมกับหน้าจอกว้าง 5.5 นิ้ว ความละเอียด 1440 x 2560 พิกเซล, ชิปเซ็ต Snapdragon 801, หน่วยความจำภายในขนาด 32 GB พร้อมด้วยกล้องด้านหลัง 13 ล้านพิกเซล ในมูลค่าหมื่นกลางๆ
Lenovo Vibe Z2 Pro (K920)
src=http://www.techmoblog.com/uploads/content_images/201411/images_141698871710.jpg
หลายๆ ท่านอาจจักยังไม่ทราบว่า เลอโนโว เป็นแน่แท้ๆ แล้วเป็น แบรนด์จีนครับ เพราะ Lenovo Vibe Z2 Pro (K920) รุ่นนี้ โดดเด่นด้วยหน้าจอขนาด 6 นิ้ว ความละเอียด 1440 x 2560 พิกเซล, ชิปเซ็ต Snapdragon 801 แบบ Quad-Core Processor ความเร็ว 2.5 GHz, กล้องหลัง 16 ล้านพิกเซล พร้อม OIS, รองรับ NFC ด้วยกันแบตเตอรี่ขนาด 4000 mAh
ZTE Nubia Z7
src=http://www.techmoblog.com/uploads/content_images/201411/images_141698887711.jpg
ด้วยว่า ZTE Nubia Z7 นั้น มาพร้อมกับหน้าจอกว้าง 5.5 นิ้ว ความละเอียด 1440 x 2560 พิกเซล, ชิปเซ็ต Snapdragon 801, RAM 3 GB, กล้องหลัง 13 ล้านพิกเซล พร้อมเซ็นเซอร์ Sony Exmor RS พร้อมกับระบบกันภาพสั่น OIS นอกจากนี้ ยังรองรับ 4K UHD video อีกด้วย
Huawei Honor 6
src=http://www.techmoblog.com/uploads/content_images/201411/images_141698889012.jpg
Huawei Honor 6 มาพร้อมกับหน้าจอ 5 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล, ชิปเซ็ต HiSilicon Kirin K920 แบบ Octa-Core Processor, RAM 3 GB กับกล้องด้านหลัง 13 ล้านพิกเซล ในราคาหมื่นต้นๆ เช่นกัน
Huawei Ascend Mate 7
src=http://www.techmoblog.com/uploads/content_images/201411/images_141698890413.jpg
ได้ฤกษ์เริ่มในไทยไปขณะไม่นานมานี้ กับ Huawei Ascend Mate 7 แฟบเล็ตหน้าจอ 6 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล ที่โดดเด่นในเรื่องของ วัสดุตัวเครื่องแบบโลหะนั่นเอง นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับชิปเซ็ต HiSilicon Kirin 925, RAM 2 GB, กล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล, กล้องหลัง 13 ล้านพิกเซล และแบตเตอรี่ขนาด 4100 mAh เคาะสนนราคาในไทยแล้วที่ 16,990 บาท
OPPO N3
src=http://www.techmoblog.com/uploads/content_images/201411/images_141698892414.jpg
มือถือกล้องหมุนได้รุ่นต่อยอดกับ OPPO N3 ที่มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล, ชิปเซ็ต Snapdragon 801 แบบ Quad-Core Processor ความเร็ว 2.5 GHz, RAM 2 GB พร้อมทั้งกล้องหลัง 16 ล้านพิกเซล ที่สามารถหมุนสลับมาเป็นกล้องด้านหน้าได้
Xiaomi Mi 4
src=http://www.techmoblog.com/uploads/content_images/201411/images_141698893315.jpg
เกี่ยวกับ Xiaomi Mi 4 นั้น ถือว่า เป็นมือถือจีนที่ถูกจับตามองมากที่สุด ณ ปัจจุบันนี้ครับ เพราะว่านอกจากจะมาพร้อมกับ ตัวเครื่องแบบโลหะแล้ว ในส่วนของสเปคก็ถือว่า น่าสนใจไม่จำนนกัน ไม่ว่าจะเป็น หน้าจอกว้าง 5 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล, ชิปเซ็ต Snapdragon 801 แบบ Quad-Core Processor ความเร็ว 2.5 GHz, กล้องหน้า 8 ล้านพิกเซล, กล้องหลัง 13 ล้านพิกเซล, RAM 3 GB พร้อมทั้งแบตเตอรี่ขนาด 3080 mAh ซึ่งปัจจุบัน Xiaomi ขึ้นแท่นผู้ผลิตรายใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของโลกแล้วอีกด้วย
รายละเอียดเพิ่มเติม : phonearena.com
สนับสนุนเนื้อหา: www.techmoblog.com


ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีรอบโลกได้ที่นี่ >>> www.hitech.sanook.com